Monday, August 29, 2011

พระอริยะน่ะ เขาดูจริยาไม่ได้

พระอริยะน่ะ เขาดูจริยาไม่ได้ พระอริยะนี่ถ้าดูจริยาภายนอกผิดหมด เพราะพระอริยะนี่เป็นคนใจเปิด ถ้าเป็นพระอรหันต์เมื่อใดก็ดูเหมือนเด็ก ๆ ตอนเด็ก ๆ หรือก่อนบวชเป็นยังไง ท่านจะใช้จริยานั้นเพราะเป็นพระไม่มีการผูกอีกต่อไป จึงไม่มีมายานิสัยเดิม ๆ เป็นยังไง พระอริยะก็ใช้นิสัยนั้น ท่านปล่อยตามสบายเพราะจิตท่านไม่มีอะไร

อย่าง พระสารีบุตร ท่านไปกับพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ พอถึงลำรางพระองค์อื่น ๆ ค่อย ๆ ย่อง ๆ ไป พระสารีบุตรขัดเขมร โดดแพล๊บนั่นพระอัครสาวกเบื้องขวานะ ภายหลังมีพระถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมพระอัครสาวกเบื้องขวาจึงขัดเขมรโดด” พระพุทธเจ้าบอก “อย่าไปว่าท่านเลย ลูกตถาคตไม่มีอะไรหรอกก็มาจากลิง” แล้วก็มี พระอีกองค์หนึ่งท่านเป็นแม่ทัพมาก่อน พอเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็อยู่ในป่า ท่านรบของท่านองค์เดียวก็เอาไม้เล็ก ๆ ที่มันหักแล้วมาตัด มาวางตั้งเป็นกองทัพ ไอ่นี่เป็นเมือง ไอ่นี่ตั้งเป็นกำแพงเมือง ไอ่นี่เคลื่อนทัพมาทางนี้ ข้าศึกมาทางโน้น และก็ทัพนั้นตี ตีอยู่คนเดียว เล่นง่วนอยู่องค์เดียว ตีไปตีมาในที่สุดพระย่องมาเห็นเข้า จึงไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอก “ลูกตถาคตเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ไปตีกับใครหรอก ก็ตีอยู่แค่นั้นแหละ” น่ากลัวจะเป็นต้นตระกูลหมากรุกนะ

นี่เห็นไหม กลับไปเป็นสภาวะเดิมหมด องค์นี้เขายังนึกถึงนิสัยของสภาวะเดิม เพราะสิ่งนั้นมันไม่เป็นพิษเป็นภัยกับท่าน ที่ท่านเล่นตีไปตีมาอย่างนั้นน่ะ ท่านก็มองดูว่ามันไม่เป็นเรื่องตีกันเพื่อประโยชน์อะไร


บ้านก็แตก เมืองก็แตก แล้วแต่ แต่ละคนก็ตายไปหมด เรียกว่าทุกคนมีอำนาจวาสนาก็ตาย ตายไปแล้วเอาอะไรไปได้หรือเปล่า แล้วก็ทำให้ชีวิตมนุษย์ตาย ทำให้คนลำบาก ใช่ไหม...ไม่เกิดประโยชน์ นี่ท่านเห็นความไม่เป็นเรื่องเป็นราวของชีวิต

ทีนี้ที่คุณถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า พระองค์นั้นองค์นี้เป็นพระอริยะ ถามคนอื่นมันจะถูกรึ ถ้าหากว่าคุณกินแกง แล้วถามคนอื่นว่าเค็มไหมวะ ... เผ็ดไหมวะ...เขาจะรู้ไหม ?

พระองคุลีมาล กับ 999 ศพ

ในอดีตชาตินานโพ้นทีเดียว พระองคุลีมาล ได้ถือกำเนิดเป็น “เต่าใหญ่” อยู่ในทะเลและมหาสมุทรแห่งหนึ่ง ความใหญ่ของเต่าตัวนี้ มีขนาดไม่เล็กไปกว่าปลาวาฬ โบราณาจารย์ท่านเรียกเต่าชนิดนี้ว่า “เต่าเรือน” คือ ตัวใหญ่เท่าเรือน เป็นเต่าใหญ่แต่ใจบุญ ด้วยมีนิสัยที่ไม่ดุร้าย ทำร้ายใคร มักช่วยเหลือผู้คนที่ตกอยู่ในอันตรายจากเรืออับปางให้พ้นภัยเสมอ

เต่าใหญ่อดีตชาติพระองคุลีมาล ก็เวียนว่ายหากินอยู่ในท้องทะเลตามปกติอยู่ชั่วนาตาปี จนอยู่มาวันหนึ่ง พบเรือประมงลำหนึ่งเกิดอับปางลง ผู้คนในเรือต่างก็ลอยคอ แหวกว่ายพยุงตัวเพื่อไม่ให้จมน้ำ ต่างก็หมดแรงเมื่อยล้า จะตายมิตายแหล่ ด้วยจิตแห่งความเมตตา เต่าใหญ่ตัวนั้นก็ว่ายเข้าไป เพื่อให้บรรดาชาวประมงเหล่านั้น ซึ่งคาดว่ามีประมาณ ๖ – ๗ คนได้พากันเกาะกระดองเต่า ปีนขึ้นมาบนหลังเต่า จนครบทุกคน และเต่านั้นก็ว่ายน้ำเข้าฝั่ง พาคน เหล่านั้นขึ้นบกให้พ้นภัย

แต่ด้วยเคราะห์กรรมของเต่านั้น ที่อาจจะมีเวรมีกรรมผูกพันกับชาวประมงที่ตนได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ตามมาส่งผล ทำให้ชาวประมงเหล่านั้นเห็นผิดเป็นชอบ เกิดความโลภ ไหน ๆ ก็ไม่ได้ปลาแล้ว ฆ่าเต่าเอาเนื้อไปขายก็ยังดี ด้วยความคิดชั่วช้าขาดเสียซึ่งความกตัญญูรู้คุณเต่าที่ได้ช่วยชีวิตตนไว้ เขาเหล่านั้นก็พากันฆ่าเต่า แล้วชำแหละเนื้อเอาไปขายให้คนในหมู่บ้านนั้น ซึ่งมีอยู่หลายครัวเรือน ทุกครัวเรือนต่างก็พากันซื้อเนื้อเต่าไปกินกัน ด้วยเป็นของแปลก หายาก และมีความเชื่อที่ว่า เต่าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืน หากใครได้กินเนื้อเต่าแล้ว จะพากันอายุยืน ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน

พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเล่าว่า คนในหมู่บ้านนั้น มีด้วยกันทั้งสิ้น ๑,๐๐๐ คนพอดี ทุกคนเมื่อได้เนื้อเต่าไปแล้ว ก็พากันนำไปปรุงอาหารแบ่งปันกันกินในครอบครัว แต่มีอยู่เพียงคนเดียว เป็นเด็กหญิงอายุเพียง ๙ ขวบ ที่ไม่ยอมกินเนื้อเต่านั้น แม้พ่อแม่จะบังคับให้กินอย่างไร เธอก็คายออกมาจนหมดสิ้น เพราะเธอสงสารเต่าตัวนั้น อาจด้วยจิตวิญญาณที่ทำไว้ร่วมกันแต่อดีตชาติกับเต่านั่นเอง ด้วยบุพกรรมอันนี้แหละ ที่ทำให้ชาตินี้ เต่าใหญ่ได้กลับชาติมาเกิดเป็น “องคุลีมาล”

หลังจากสิ้นพระดำรัสเล่าเรื่องราวแต่อดีตชาติของพระองคุลีมาลจบแล้ว ทรงประทานพุทธโอวาท ตอนหนึ่ง ความว่า “บาปกรรมที่บุคคลทำแล้ว ย่อมละได้เสียด้วยกุศลกรรม บุคคลเช่นนั้นย่อมยังโลกให้สว่าง เหมือนดวงจันทร์ที่พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น”

Friday, August 26, 2011

BUDDHISM AND SCIENCE

Based on a talk given by Ajahn Brahmavamso to lay people at the Dhammaloka Buddhist Centre, Nollamara, Western Australia, on 19th of October 2001

Sometime ago, I was invited to the West Perth Observatory as part of the Centenary Federation celebrations in Western Australia. The youth groups of W.A. organised all the events. One of the events they presented was entitled ‘Our Place in Space’. The idea was to try and find out whether the future would be one which followed science or one which would follow religion. They wanted to see how those two, so called contradictory approaches to life, would pan out into the future. So they invited representatives from a couple of religions. I represented the Buddhists, and a teacher from a prestigious Christian school represented the Christians. The State Astronomer and a young person from the University of WA, who was about to get a PhD in physics, were also on the panel, representing Astronomy and Physics. What they didn’t know was that before I was a monk I was a theoretical physicist. So, I knew what Buddhists know and I also knew what they know. It was a bit unfair, but really good fun. It was good fun talking to the audience about Buddhism, religion and science, and how they come together. There are dangers in religion and science, but they can be used to help people to find a way through their lives in wise, compassionate and effective ways.

This method that we take as science in the universities, in the labs, and in the hospitals often suffers from the same disease as religion dogmatism. You know what religious dogmatism is like. We have a belief and whether it fits with experience or not, whether it’s useful or not, whether it’s conducive to people’s happiness, harmony, and peace in the world or not, we follow it just because that’s our belief. But following beliefs blindly, dogmatically, is just a recipe for violence and suffering.
One of the beautiful things about Buddhism that encouraged me to become a Buddhist when I was young, and which keeps me as a Buddhist now, is that questioning is always encouraged. You do not need to believe. In one of the tales from the ancient texts the Buddha gave a teaching to his chief monk, Venerable Sariputta. After giving the teaching, the Buddha asked his chief monk, “Sariputta, do you believe what I just taught?” Sariputta, without any hesitation, said “No I don’t believe it, because I haven’t experienced it yet”. The Buddha said, “Well done! Well done! Well done!” That is the attitude to encourage in all disciples, either of religion or science. Not to believe, but to keep an open mind until they’ve had the true experience. This attitude goes against dogmatism, it runs counter to fundamentalism, which one doesn’t only see in religion, but which one also sees in science.
‘The eminence of a great scientist’, the old saying goes, ‘is measured by the length of time they obstruct progress in their field’.
The more famous the scientist, the more prominent they are, the more their views are taken to be gospel truth. Their fame stops other people challenging them; it delays the arrival of a better ‘truth’. In Buddhism when you find a better truth, use it at once.

Wednesday, August 24, 2011

Satya Narayan Goenka

Mr. Satya Narayan Goenka Good Luck Charm is the Principal Teacher of Vipassana, the practical quintessence of the Buddha’s teaching. A leading industrialist in Myanmar (Burma) after the Second World War, Goenkaji, as he is affectionately known outside India , is living proof that the mental exercise of meditation is necessary for a wholesome and beneficial life. Known for his humility, deep compassion, unperturbed composure, Mr. Goenka’s emphasis on the self-dependant, non-sectarian and result oriented nature of Vipassana found appeal in a world searching for a practical path out of stress and suffering.

As an indicator of the increasing universal acceptance of the Buddha’s scientific teachings, Mr. Goenka has been invited to lecture by institutions as diverse as the United Nations General Assembly, members of the Indian Parliament, Harvard Business Club, Dharma Drum Mountain Monastery (of Ven. Sheng Yen) in Taiwan, the World Economic Forum in Davos, Switzerland, the Smithsonian Institute, Massachusetts Institute of Technology (MIT) and Silicon Valley Indian Professionals Association.

Mr. Goenka’s success in service comes from being an inspiring example and an ideal, and of practicing what he asks his students to practice. “Develop purity in yourself if you wish to encourage others to follow the path of purity,” he told an annual meeting in Dhamma Giri, Igatpuri, on March I, 1989. “Discover real peace and harmony within yourself, and naturally this will overflow to benefit others.”

Mr. Goenka is a tireless worker. In 2002, at the age of 78, he undertook a remarkable Dhamma tour of the West. Accompanied by his wife Illaichidevi Goenka, a few senior teachers and students, he traveled for 128 days through Europe and North America, joyfully sharing the priceless gift of Vipassana. The second leg of the tour was a 13,000-mile road journey in a motor caravan through the United States and Canada.

On the 62nd day of this Dhamma Odyssey, on June 10, 2002, Mr. Goenka told a crowded gathering at Sonoma State University, Santa Rosa, CA.

Monday, August 22, 2011

เขียนแบบบ้าน แบบขออนุญาตก่อสร้าง แบบยื่นกู้ธนาคาร คำนวณโครงสร้าง ประมาณราคา

เขียนแบบบ้าน แบบขออนุญาตก่อสร้าง แบบยื่นกู้ธนาคาร คำนวณโครงสร้าง ประมาณราคา

รับงานทุกพื้นที่ ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ

โปรโมชั่นพิเศษ #1

จัดทำแบบบ้าน(แบบสถาปัตย์+แบบโครงสร้าง+แบบระบบไฟฟ้า+แบบระบบประปา-สุขาภิบาล)

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านไม่เกิน 50 ตร.ม. ในราคา 2,500 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 51 - 100 ตร.ม. ในราคา 3,500 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 101 - 150 ตร.ม. ในราคา 4,500 บาท

***หมายเหตุ***

- ไม่รวมรายการประมาณราคาก่อสร้าง

- ไม่รวมการเซ็นของสถาปนิก

- ไม่รวมการเซ็นของวิศวกร

- ไม่รวมการจักทำภาพ 3D เสมือนจริง



โปรโมชั่นพิเศษ #2

จัดทำแบบบ้านครบชุด(แบบสถาปัตย์+แบบโครงสร้าง+แบบระบบไฟฟ้า+แบบระบบ ประปา-สุขาภิบาล) , พร้อมรายการคำนวณโครงสร้างและเซ็นรับรองรายการคำนวณโดยวิศวกร

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านไม่เกิน 50 ตร.ม. ในราคา 5,000 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 51 - 100 ตร.ม. ในราคา 6,500 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 101 - 150 ตร.ม. ในราคา 7,500 บาท

***หมายเหตุ***

- ไม่รวมรายการประมาณราคาก่อสร้าง

- ไม่รวมการเซ็นของสถาปนิก



โปรโมชั่นพิเศษ #3

จัดทำภาพ 3D เสมือนจริงให้ชมก่อนจัดทำแบบ จัดทำแบบบ้านครบชุด พร้อมรายการคำนวณโครงสร้างและเซ็นรับรองรายการคำนวณโดยวิศวกร และรายการประมาณราคางานก่อสร้าง

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านไม่เกิน 50 ตร.ม. ในราคา 6,500 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 51 - 100 ตร.ม. ในราคา 8,500 บาท

- พื้นที่ใช้สอยของตัวบ้านตั้งแต่ 101 - 150 ตร.ม. ในราคา 9,500 บาท

***หมายเหตุ***

- ไม่รวมการเซ็นของสถาปนิก



บริการของเรา

1. ออกแบบบ้าน และอาคารโดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย พื้นที่การปลูกสร้าง และงบประมาณที่ท่านตั้งไว

2. เราใช้โปรแกรม 3D ช่วยทำภาพในมุมมองสามมิติ(Perspective) เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพเสมือนจริงบ้านของท่านก่อนสร้าง

3. ออกแบบโครงสร้างโดยวิศวกรโยธา พร้อมเซ็นรับรองรายการคำนวณโครงสร้าง

4. จัดทำรายการประมาณการ ประมาณราคาค่าก่อสร้าง B.O.Q.

5. จัดทำแบบขออนุญาตก่อสร้าง แบบแปลนเพื่อขอยื่นกู้ธนาคาร แบบก่อสร้าง

6. รับควบคุมงานก่อสร้าง พร้อมดำเนินการคัดเลือก และจัดหาผู้รับเหมา

7. รับเขียนแบบด้วยโปรแกรม Auto CAD ทั้ง 2D และ 3D


เราเป็นฟรีแลนซ์ (freelance) ด้วยสาเหตุนี้เองเราจึงดำเนินการด้วยราคาที่ย่อมเยาว์ ประหยัด เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจในยุคนี้

ติดต่อ คุณธนเสฏฐ์ โทร. 081-6177145

Saturday, August 20, 2011

การเลือกบ้านประหยัดพลังงาน

20 แม่ไม้สำคัญ ในการเลือกบ้านประหยัดพลังงาน

1. อย่าใส่แหล่งความร้อน(ลานคอนกรีต)ในบ้าน

ภายในบริเวณบ้านไม่ควรมีลานคอนกรีตในทิศทางรับแสงแดดจัด เช่น ทิศใต้และทิศตะวันตก เนื่องจากในเวลากลางวันคอนกรีตจะกลายเป็นมวลสารสะสมความร้อน (Thermal mass)

มีการสะสมความร้อนไว้ในเวลากลางวันในปริมาณมาก ด้วยคุณสมบัติการนำความร้อนของวัสดุและจะถ่ายเทความร้อนกลับสู่บ้านของท่านในเวลากลางคืน จึงทำให้สภาพแวดล้อมของบ้านและตัวบ้านมีอุณหภูมิสูงตามไปด้วย การจัดวางตำแหน่งพื้นคอนกรีตเพื่อเป็นที่จอดรถยนต์หรือชานหรือระเบียงที่ดีควรเลือกวางในทิศที่ไม่ถูกแสงแดดมาก เช่น ทิศเหนือ ทิศตะวันออกและควรมีร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดปริมาณแสงแดด


2. รั้วบ้าน...ต้องโล่ง...โปร่ง...สบาย

รั้วบ้านไม่ควรออกแบบให้มีลักษณะทึบตันเนื่องจากรั้วทึบจะกีดขวางการเคลื่อนที่ของลมเข้าสู่ตัวบ้านทำให้ภายในตัวบ้านอับลมนอกจากนี้วัสดุที่ใช้ทำรั้วบางชนิด เช่น อิฐมอญ คอนกรีต เสริมเหล็ก คอนกรีตบล็อก ยังมีคุณสมบัติสะสมความร้อนไว้ในตัวเองในเวลากลางวันและคายกลับสู่สภาพแวดล้อมและตัวบ้าน ในเวลากลางคืน


3. อย่าลืม!!ต้นไม้ให้ร่มเงา

การปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้านนอกจากจะสร้างความร่มรื่นและความสดชื่นสบายตาสบายใจแก่ผู้อาศัยในบ้านแล้วใบไม้หลากรูปทรงและสีสันที่แผ่กิ่งก้านสาขายังสามารถลดแสงแดดที่ตกกระทบตัวบ้านและให้ร่มเงาที่ร่มเย็นแก่ผู้อยู่อาศัยได้เป็น อย่างดีนอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายยังช่วยลดความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้วยการคายไอน้ำผ่านทางปากใบได้อีกด้วยซึ่งควรพิจารณาตำแหน่งการปลูกต้นไม้ใหญ่น้อยในบริเวณบ้านให้สัมพันธ์กับร่มเงาที่เกิดขึ้นกับตัวบ้านไว้ล่วงหน้า

ข้อควรระวัง! การปลูกไม้ใหญ่ใกล้บ้านเกินไป ต้องระวังรากของต้นไม้ใหญ่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของบ้านจึงควรดูความเหมาะสมของชนิดต้นไม้


4. ก่อนสร้าง อย่าลืม!!! พื้นชั้นล่างปูแผ่นพลาสติก

บ้านพักอาศัยทั่วไปในปัจจุบันทั้งชั้นล่างและชั้นบนมักติดตั้ง เครื่องปรับอากาศให้ความเย็นและลดความชื้นภายในพื้นที่ กันเป็นจำนวนมาก การเตรียมการก่อสร้างบ้านในส่วนโครงสร้างพื้นชั้นล่างควรปูแผ่นพลาสติก เพื่อป้องกัน ความชื้นที่ระเหยขึ้นจากผิวดิน ซึ่งเป็นผลให้มีความเสียหายที่วัสดุปูพื้นชั้นล่าง และประเด็นที่สำคัญด้านพลังงานคือเกิดการสะสมความชื้นภายในพื้นที่ชั้นล่างของตัวบ้านเป็นที่มาของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นในที่สุด สิ่งที่ควรระวังระหว่างการก่อสร้างส่วนดังกล่าว คือ การฉีกขาดเสียหาย ของพลาสติกเนื่องจากเหล็กที่ใช้ในระหว่างการก่อสร้าง จึงต้องมีการเตรียมก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเช่นกัน


5. หันบ้านให้ถูกทิศ(ลม-แดด-ฝน) จิตแจ่มใส

การออกแบบบ้านเรือนในประเทศไทยไม่ควรหลงลืมปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการถ่ายเทความร้อนสู่ตัวบ้าน นั่นคือส่วนใหญ่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทางทิศใต้(แดดอ้อมใต้)เป็นเวลา 8-9 เดือนและด้วยมุมกระทำของดวงอาทิตย์ต่อพื้นโลกมีค่าน้อย (มุมต่ำ) จึงทำให้การป้องกันแสงแดดทำได้ยากเป็นผลให้ทิศทางดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากแสงแดดรุนแรงเกือบตลอดปี การวางตำแหน่งบ้านและการออกแบบ รูปทรงบ้านที่ดีต้องหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดในทิศดังกล่าวนอกจากนี้ลมประจำ(ลมมรสุม)ที่พัดผ่านประเทศไทยมีทิศทางชัดเจนจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงฤดูร้อน และฤดูฝน และพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูหนาวการวางผังบ้านและทิศทางตำแหน่งช่องหน้าต่างเพื่อระบายความร้อนในบ้าน จึงต้องคำนึงถึงทิศทางกระแสลมเหล่านี้เป็นสำคัญอีกด้วย


6. มีครัวไทยต้องไม่เชื่อมติดตัวบ้าน

การทำครัวแบบไทย นอกจากจะได้อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนถูกปากคนไทยแล้วยังก่อให้เกิดความร้อนสะสมขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณมากอีกด้วย อันเนื่องมาจากอุปกรณ์และกิจกรรมการทำครัวต่างๆซึ่งแตกต่างจากครัวฝรั่งโดยสิ้นเชิงความร้อนที่เกิดขึ้นในห้องครัวที่ติดกับตัวบ้านจะสามารถถ่ายเทเข้าสู่พื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็วในลักษณะสะพานความร้อน (Thermal Bridge) และหากห้องติดกันเป็นพื้นที่ปรับ อากาศจะยิ่งสิ้นเปลืองพลังงานในการทำความเย็นของห้องดังกล่าวมากขึ้นโดยใช่เหตุ แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมระหว่างห้องครัวกับตัวบ้าน เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น


7.ประตูหน้าต่างต้องมีทางลมเข้าออก

การระบายความร้อนภายในบ้านโดยใช้ลมธรรมชาติพัดผ่านหน้าต่าง ภายในห้องต้องมีช่องทางให้ลมเข้าและลมออกได้อย่างน้อย 2 ด้านมิฉะนั้นลมจะไม่สามารถไหลผ่านได้และสิ่งที่ดีที่สุดคือการออกแบบให้ช่องหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันและมีขนาดใหญ่เท่าเทียมกันจะทำให้การระบายความร้อนเกิดขึ้นมากที่สุด นอกจากนี้การวางตำแหน่งช่องหน้าต่างต้องตอบรับทิศทางการเคลื่อนที่ของลมประจำด้วยแต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าลมที่นำเข้าสู่อาคารต้องทำให้เป็นลมเย็นเสียก่อนจึงจะทำให้การลดความร้อนมีประสิทธิผล

การออกแบบให้ลมไหลผ่านตัวบ้านได้ดีมีข้อควรระวังได้แก่

1.ต้องติดตั้งมุ้งลวดเพื่อกรองฝุ่นละอองเกสรที่จะเข้าบ้าน

2.การติดช่องหน้าต่างในตำแหน่งเยื้องกันจะช่วยบังคับให้ลมไหลผ่านห้องต่าง ๆ ตามตำแหน่งที่ต้องการได้


8. ผังเฟอร์นิเจอร์ต้องเตรียมไว้ก่อน ไม่ร้อนและประหยัดพลังงาน

บ้านที่ดีควรมีการจัดวางผังเฟอร์นิเจอร์ในแต่ละห้องไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกในการจัดเตรียมตำแหน่งติดตั้ง ปลั๊ก สวิทช์ ไว้ให้ เพียงพอสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆในบ้าน นอกจากนี้การเตรียมการดังกล่าวไว้ล่วงหน้าจะตรวจสอบได้ว่าตำแหน่งใดในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์วางกีดขวางการเคลื่อนที่ของกระแสลมหรือไม่หรือตอบรับแสงสว่าง ธรรมชาติและกระแสลมธรรมชาติมากน้อยเพียงใดและควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไรให้ดีขึ้น ควรแยกอุปกรณ์ที่จะสร้างความร้อนออกนอกห้องปรับอากาศ เช่น ตู้เย็น เครื่องต้มน้ำ


9. อย่า!!!มีบ่อน้ำหรือนำพุในห้องปรับอากาศ

คุณสมบัติทางอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ คือ การลดอุณหภูมิและความชื้น ทำให้พื้นที่ห้องต่าง ๆ อยู่ในสภาวะสบาย ซึ่งการตกแต่งประดับพื้นที่ภายในห้องด้วยน้ำพุ น้ำตก อ่างเลี้ยงปลา หรือแจกันดอกไม้ ย่อมทำให้ภายในห้องมีแหล่งความชื้นเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นและทำให้เครื่องปรับอากาศต้องใช้พลังงานในการลดความชื้นมากกว่าปกติ


10. ช่องอากาศที่หลังคาพาคลายร้อน...

หลังคาที่ดีนอกจากจะสามารถคุ้มแดดคุ้มฝนได้ ยังต้องมีคุณสมบัติ ในการป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านได้อีกด้วย ภายในช่องว่างใต้หลังคา เป็นพื้นที่เก็บกักความร้อนที่แผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ก่อนถ่ายเทเข้าสู่พื้นที่ส่วนต่างๆภายในบ้านดังนั้นการออกแบบให้มีการระบายอากาศ (ร้อน) ภายในหลังคาออกไปสู่ภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องลมบริเวณจั่วหลังคาหรือระแนงชายคาจึงเป็นเรื่องที่ดีต่อการลดความร้อนในบ้าน แต่พึงระวังให้การระบายอากาศร้อนดังกล่าวอยู่เหนือฉนวนภายในฝ้าเพดาน มิฉะนั้นความร้อน จะสามารถถ่ายเทลงสู่ตัวบ้านได้อยู่ดี

ข้อควรระวัง คือ

1. ต้องมีการติดตั้งตาข่ายป้องกันนก แมลง เข้าไปทำรังใต้หลังคาด้วย

2. ต้องมีการป้องกันฝนเข้าช่องเปิดระบายอากาศด้วย


11. ต้องใส่"ฉนวน"ที่หลังคาเสมอ

ฉนวนกันความร้อนเป็นอุปกรณ์ที่สามารถกั้นหรือป้องกัน ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงแดดไม่ให้เข้าสู่บ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นจากส่วนผนังหรือหลังคาบ้าน แต่ช่องทางที่ความร้อนจากแสงแดดถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านได้มากที่สุดในเวลากลางวันคือพื้นที่หลังคา ดังนั้นการลดความร้อนจาก จากพื้นที่ดังกล่าว ด้วยการใช้ฉนวนซึ่งมีรูปแบบและการติดตั้งที่เหมาะสมกับพื้นที่ สอดคล้องกับการใช้งานจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการลดการใช้พลังงานภายในบ้าน


12. กันแสงแดดดีต้องมีชายคา

กันสาดหรือชายคาบ้านเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญกับอาคาร บ้านเรือนในเขตร้อนเช่นประเทศไทย เนื่องจากมีคุณสมบัติการ ป้องกันแสงแดด(ความร้อน)ไม่ให้ตกกระทบผนังและส่องผ่านเข้าสู่ช่องแสงและหน้าต่างได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ตำแหน่ง และทิศทางการติดตั้งกันสาดที่มีความจำเป็นมากที่สุด คือ ด้านที่มีแสงแดดรุนแรง ได้แก่ ทิศใต้และทิศตะวันตก นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการของการติดตั้งชายคาและกันสาด คือ เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันฝนเข้าสู่ ตัวบ้านอีกด้วย


13. ห้องไหนๆติดเครื่องปรับอากาศ อย่าลืมติดฉนวน

การลดภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่สำคัญ คือ ลดความร้อนที่ถ่ายเทเข้าสู่ตัวบ้านและพื้นที่ใช้สอย ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนในพื้นที่ห้องที่ปรับอากาศเพื่อลดความร้อนนอกจากจะทำให้ห้องเย็นสบายจากแสงแดดและ ป้องกันความร้อนเข้าตัวบ้านแล้วยังทำให้สภาพภายในห้องปรับลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีความร้อนสะสมอยู่ภายในห้องน้อยจึงช่วยลดค่าไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศได้


14. บานเกล็ด บานเปิด บานเลื่อน ต้องใช้ให้เหมาะสม

หน้าต่างแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการใช้สอยที่แตกต่างกันตามความต้องการ จึงควรเลือกชนิดของหน้าต่างให้ เหมาะสมกับพื้นที่ภายในห้อง...หน้าต่างบานเปิดมีประสิทธิภาพในการรับกระแสลมสูงที่สุด...แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจัดวางให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของกระแสลมด้วย นอกจากนี้พึงระวังการใช้หน้าต่างบานเกล็ดในห้อง ปรับอากาศ เพราะหน้าต่างชนิดนี้มีรอยต่อมาก ทำให้อากาศภายนอกรั่วซึมเข้ามาได้ง่าย จึงส่งผลให้ความร้อนและ ความชื้นถ่ายเทสู่ภายในห้องได้สะดวกเช่นกัน ซึ่งเป็นผลให้เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น


15. ทาสีผนังให้ใช้สีอ่อน ไม่ร้อนดี แต่ถ้าเปลี่ยนสี(เข้ม)ต้องมีฉนวน

สีผนังมีผลต่อการสะท้อนแสงแดดและความร้อนเข้าสู่อาคารมากน้อยต่างกัน สีอ่อนจะมีคุณสมบัติสะท้อนแสงแดด และการถ่ายเทความร้อนเข้าภายในบ้านดีกว่า สีเข้มตามลำดับความเข้มของสี ผนังภายนอกที่สัมผัสแสงแดดจึงควรเลือกใช้สีโทนอ่อน เช่น ขาว ครีม เป็นต้น เพื่อช่วยสะท้อนความร้อน ในทางกลับกันหากต้องการทาสีผนังภายนอกบ้านเป็นสีเข้มก็สามารถ กระทำได้ แต่ไม่ควรอยู่ในตำแหน่งที่โดนแสงแดดหรือต้องมีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนในบริเวณนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนเป็นการชดเชย นอกจากสีภายนอกอาคารแล้ว การทาสีภายในอาคารด้วยสีอ่อน จะช่วยสะท้อนแสงภายในห้อง เพิ่มความสว่างภายในบ้าน ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดใช้โคมไฟมากเกินไป


16. ห้องติดเครื่องปรับอากาศต้องไม่ไร้บังใบประตูหน้าต่าง

ความชื้นในอากาศที่รั่วซึมเข้าภายในอาคารบ้านเรือน (Air Infiltration) เป็นสาเหตุของภาระการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ และ ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการป้องกันปัญหาด้วยการออกแบบที่กระทำได้ไม่ลำบากคือ การเลือกใช้ประตูและหน้าต่างห้องในบ้านที่มีการบังใบวงกบ เพื่อลดการรั่วซึมของ อากาศร้อนและความชื้นจากภายนอกที่ไหลผ่านรอยต่อวงกบ ประตู หน้าต่าง เข้าสู่ภายใน

กรณีบานหน้าต่างสามารถใช้ซิลิโคนสีใสช่วยปิดช่องอากาศรั่วได้ ส่วนกรณีบานประตูก็สามารถซื้อแผ่นพลาสติกปิดช่องอากาศรั่วมาติดเพิ่มเติม ได้ในภายหลัง โดยควรเลือกชนิดพลาสติกจะทำความสะอาดและกันลมรั่วได้ดีกว่าแบบผ้า


17. ห้องน้ำดีต้องมีแสงแดด

ผนังห้องน้ำ เป็นพื้นที่ ไม่กี่จุดในบ้านที่ควรจัดวางให้สัมผัสแสงแดดมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ ด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัยและเพื่อลดความชื้นสะสมภายในตัวบ้าน นอกจากนี้การเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำทางด้าน ทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ยังมีข้อดีในการเป็นพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างแสงแดดกับพื้นที่ในบ้านได้อีกด้วย

นอกจากจะต้องมีช่องแสงแดดที่มากแล้ว ควรมีช่องลมในปริมาณที่มากพอ เพื่อระบายความชื้นภายในห้องน้ำด้วยซึ่งมีข้อควรระวัง คือ ติดตาข่ายป้องกันแมลงที่ช่องลมด้วย


18. รับแสงเหนือเพื่อประหยัดแสงไฟ

ช่องแสงหรือหน้าต่างภายในบ้านควรออกแบบจัดวางให้เอื้อต่อการนำแสงธรรมชาติส่องเข้ามาภายในห้องได้ ทุกๆห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ ห้องเก็บของและบันได เพื่อลด การใช้พลังงานไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าในบ้าน เนื่องจากแสงธรรมชาติเป็นแสงที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดและไม่เสีย ค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่มากับแสงธรรมชาติ คือความร้อน ดังนั้นทิศทางช่องแสงหรือหน้าต่างในบ้าน ที่ดีที่สุด คือทิศเหนือ เนื่องจากได้รับอิทธิพลความร้อนของแสงแดดน้อยที่สุดในรอบปี (ดวงอาทิตย์อ้อมเหนือเพียง 3 เดือน) และมีลักษณะความสว่างคงที่ (Uniform) ในแต่ละวัน


19. คอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ...ต้องวางให้ถูกที่

การวางตำแหน่งคอมเพรสเซอร์ นอกจากจะพิจารณาเรื่องความ สวยงามแล้วยังมีผลอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง ปรับอากาศและการทำความเย็นภายในห้อง จึงควรเลือกวางตำแหน่ง เครื่องให้อยู่ในจุดที่พัดลมของเครื่องสามารถระบายความร้อน ได้สะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวางทิศทางลม และนอกจากนี้ตัวเครื่องต้อง ไม่ได้รับความร้อนจากแสงแดดมากนักในช่วงเวลากลางวัน เช่น ทิศเหนือหรือตะวันออก เพราะการสะสมความร้อนที่ตัวเครื่องใน ปริมาณมาก จะทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น


20. ไม่ใช้หลอดไส้..หลอดร้อนหลากสี.. ชีวีเป็นสุข

หลอดไฟฟ้าชนิดหลอดไส้ (Incandescent Lamp) หลอด ฮาโลเจน (Halogen Lamp) ที่มีสีสันสวยงามเหล่านี้เป็นดวงโคม ที่นอกจากจะให้ความสว่างแล้วยังปล่อยความร้อนสู่พื้นที่ภายในห้องใน ปริมาณมาก เมื่อเทียบกับหลอดผอมหรือหลอดฟลูออเรสเซนท์ และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนท์หรือหลอดตะเกียบ ซึ่งมี ประสิทธิภาพทางพลังงาน (Efficacy) สูงกว่า คือให้ความสว่างมาก แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า ในห้องที่มีการปรับอากาศ การใช้งาน หลอดตระกูลหลอดไส้เหล่านี้ ทำให้ห้องมีความร้อนเพิ่มมากขึ้น และเครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น

Wednesday, August 17, 2011

ช้างในพระพุทธศาสนา

พญาช้างฉัททันต์

ในสมัยดึกดำบรรพ์นานมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง กว้างยาว 52 โยชน์ ลึกราว 12 โยชน์ สระแห่งนี้มีชื่อว่าฉัททันต์ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของสระนี้มีต้นไทรใหญ่อยู่ด้านหนึ่ง และทางด้านตะวันตกมีถ้ำทองที่มีชื่อว่า กาญจนคูหา ในครั้งนั้น มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง ชื่อว่า พญาฉัททันต์ ได้อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้ๆ สระแห่งนี้ เว้นแต่ในฤดูฝนอันเป็นเวลาที่พญาฉัททันต์ หลบฝนเข้าไปอยู่ในกาญจนคูหา

ลักษณะของพญาฉัททันต์กล่าวว่า สูงถึง 88 ศอก ยาว 120 ศอก งวงยาว 58 ศอก งาวัดโดยรอบโต50 กำ และมีรัศมี 6 อย่าง จึงได้นามว่า ฉัททันต์ ผิวกายมีสีขาวดั่งสีเงิน งาขาวดั่งเงินยวง งวง หาง และ เล็บแดง สันหลังแดง มีพละกำลัง เดินตั้งแต่เช้าไปไม่ทันสายได้ระยะทางถึง 3,610,350 โยชน์ นับว่าเดินเร็วมากทีเดียว พญาช้างฉัททันต์มีบริวารถึง 8,000 เชือก มีมเหสีชื่อ จุลสุภัททาและมหาสุภัททา เป็นช้างเผือกเหมือนกัน

เรื่องราวของพญาช้างฉัททันต์นี้ พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง ในขณะที่เสด็จประทับอยู่ที่เชตุวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี พระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุณีสาวรูปหนึ่งซึ่งมาฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดง แล้วมีอาการหัวเราะแล้วร้องไห้ พระองค์จึงแย้มพระโอษฐ์ ให้ปรากฏแก่ภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นทูลถามถึงสาเหตุ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องราว ดังต่อไปนี้

ภิกษุณีรูปนี้เป็นธิดาของผู้มีตระกูลในเมืองสาวัตถี เมื่อออกบวชในพุทธศาสนาแล้วได้มาฟังธรรมเทศนาพร้อมภิกษุณีทั้งหลาย สาเหตุที่ภิกษุณีแสดงอาการเช่นนั้นเนื่องจากในขณะที่นางฟังธรรมเทศนา อยู่นั้น นางได้เพ่งดูความสง่างามผุดผ่องของพระพุทธองค์ แล้วระลึกไปถึงชาติก่อนๆ ว่านางเคยเป็น บาทบริจาริกาของมหาบุรุษนี้หรือไม่ ก็ระลึกได้ว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เป็นช้างฉัททันต์ นางเคยเป็นคู่ครองของพญาช้าง ก็บังเกิดความปิติยินดียิ่งจนไม่อาจสะกดไว้ได้ ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ แต่ครั้นมาหวนคิดได้ว่าอีกชาติหนึ่งนางเคยใช้ให้นายพรานโสณุดร ยิงพญาช้างด้วยลูกศรอาบยาพิษ พร้อมทั้งให้ตัดงาอันมีรัศมี 6 สี ทั้งคู่มาให้นางจนเป็นเหตุให้พญาช้างสิ้นชีวิตลง เพราะความอาฆาตของนาง นางจึงบังเกิดความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่อาจกลั้นความเศร้าโศกไว้ได้ ถึงกับสะอื้นไห้ออกมาดังๆ


พระคเณศ

พระคเณศ หรือ วิฆเนศวร หรือ พิฆเนศวร เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู นอกจากจะเป็นที่เคารพนับถือของชาวฮินดูโดยทั่วไปแล้ว ในบรรดาประเทศที่เลี้ยงช้างในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งประเทศไทย พระคเณศยังเป็นที่นับถือของพวกหมอเฒ่าซึ่งเป็นครูผู้โพนช้าง คล้องช้าง และฝึกสอนช้าง อีกด้วย

ในการโพนช้าง คล้องช้าง หรือการประกอบพิธีเกี่ยวกับช้าง ผู้กระทำพิธีจะต้องทำการบวงสรวงบูชาและนมัสการพระคเณศก่อน โดยนับถือพระองค์เป็นเทพประจำช้าง นอกจากนี้พระคเณศยังเป็นเทพเจ้าประจำศิลปวิทยาการอีกด้วย

พระคเณศเป็นโอรสองค์แรกของพระอิศวรและพระอุมา ในคัมภีร์ปุราณะต่างๆ กล่าวว่า พระคเณศมิได้คลอดจากพระครรภ์ของพระมารดา แต่ถือกำเนิดโดยความปรารถนาของพระอิศวรและพระอุมา

พระคเณศมีรูปกายเป็นมนุษย์ อ้วนเตี้ย ท้องพลุ้ย หูยาน มีเศียรเป็นช้าง มีงาข้างเดียว สีกายแดง (บางแห่งว่าผิวเหลือง) นุ่งห่มแดง มี 4 กร (บางแห่งว่ามี 8 กรบาง 2 กรบาง) พระหัตถ์ที่ 1 ทรงถือเปลือกหอย พระหัตถ์ที่ 2 ทรงถือจักร พระหัตถ์ที่ 3 ทรงถือไม้พลองหรือปฏัก พระหัตถ์ที่ 4 ทรงถือดอกบัว

สาเหตุที่พระคเณศมีเศียรเป็นช้างนั้น ในคัมภีร์พรหมไววรรตปุราณะกล่าวว่า เมื่อพระอุมาได้ พระโอรสจากการทำพิธีปันยากพรต คือพิธีบูชาพระนารายณ์ ทวยเทพที่ทราบข่าวก็พากันมาแสดงความยินดี รวมทั้งพระศนิ (พระเสาร์) ซึ่งถ้ามองดูหน้าใครก็จะทำให้ผู้นั้นประสบความร้าย เมื่อพระศนิมองดูกุมาร ทันใดนั้นเศียรของกุมารก็ขาดจากศอกระเด็นหายไป เมื่อพระวิษณุ (พระนารายณ์) ทรงทราบก็เสด็จขึ้นครุฑไปยังแม่น้ำบุษปภัทร ทอดพระเนตรเห็นช้างนอนหลับหันหัวไปทางทิศเหนือ ก็ทรงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อที่ศอกุมาร

ส่วนสาเหตุที่พระคเณศมีงาข้างเดียวนั้น ในคัมภีร์พรหมไววรรตปุราณะกล่าวว่า พระคเณศทรงทำหน้าที่รักษาพระทวารขณะที่พระอิศวรทรงบรรทม ปรศุรามจะเข้าไปในพระราชฐานชั้นใน พระคเณศเข้า ขัดขวาง ได้มีการถกเถียงและต่อสู้กันขึ้น พระคเณศใช้งวงจับปรศุรามหมุนไปรอบๆ และเหวี่ยงไปจน ปรศุรามมึนศีรษะและหมดสติไป เมื่อปรศุรามรู้สึกตัวก็โกรธแค้นพระคเณศมาก จึงเอาขวานเพชรขว้างไปที่พระคเณศ พระคเณศจำได้ว่าขวานนั้นเป็นอาวุธของพระศิวะซึ่งประทานแก่ปรศุราม พระคเณศจึงน้อมรับด้วยความเคารพ ทันใดนั้นขวานเพชรก็ตัดงานข้างหนึ่งขาดกระเด็นไป พระคเณศจึงเหลืองาข้างเดียวนับแต่บัดนั้น


ช้างปาลิไลยกะ

ช้างปาลิไลยกะ เป็นช้างที่รู้จักกันดีในพระพุทธประวัติ เพราะเป็นช้างที่ได้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าตลอดพรรษที่ 10 นับตั้งแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษาที่ป่ารักขิตวัน ใกล้หมู่บ้านปาลิไลยกะ ใกล้เมืองโกสัมพี หมู่บ้านนี้จึงมีความสำคัญในพุทธศาสนา

ช้างปาลิไลยกะเป็นช้างพลายหัวหน้าโขลงที่มีกำลังแข็งแรง ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายต่อการอยู่รวมกับช้างเป็นจำนวนมากในโขลง เพราะช้างเหล่านั้นประพฤติตนไม่อยู่ในระเบียบ ทั้งในเรื่องอาหารการกิน และการดำรงชีวิตอยู่ เช่น แย่งกินหญ้าหมด พญาช้างต้องกินต้นหญ้าที่เหลือ นอกจากนี้ช้างโขลงนั้นยังลงกินน้ำในแอ่งหรือสระก่อน และทำน้ำขุ่น พญาช้างต้องกินน้ำขุ่นๆ ช้างพังก็มักชอบเดินเสียดสีกายพญาช้าง เมื่อต้องลงไปท่าน้ำหรือขึ้นจากน้ำ ช้างปาลิไลยกะจึงตัดสินใจแยกตัวจากโขลงไปเป็นช้างโทนอยู่ตามลำพังเพื่อความสุขสงบของตนเอง

ในเวลาเดียวกันนั้น พระพุทธองค์ทรงเบื่อระอาภิกษุชาวโกสัมพี ที่ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องเล็กน้อย จึงทรงหลีกออกจากพระภิกษุไปแต่พระองค์เดียว จึงเสด็จไปทางหมู่บ้านปาลิไลยกะ ประทับอยู่ที่บริเวณ ใต้ต้นสาละที่ชายป่ารักขิตวัน จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น

หลังจากนั้นช้างปาลิไลยกะก็เดินทางไปถึงที่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เข้าไปทำความเคารพด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เนื่องจากเป็นช้างที่เฉลียวฉลาด เมื่อเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีสิ่งใดจะเป็นเสนาสนะของพระองค์ พญาช้างมีความปรารถนาที่จะปรนนิบัติพระพุทธเจ้า

ช้างปาลิไลยกะได้ปรนนิบัติต่อพระพุทธเจ้าเช่นนี้เป็นประจำตลอดพรรษา คือเป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงออกเดินทางต่อ โดยพญาช้างเดินตามมาขวางทางไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พญา-ช้างว่า พระองค์เสด็จไปแล้วไม่กลับมาอีก ขอให้พญาช้างหยุดเพียงนี้ พญาช้างมีความอาลัยจึงสอดงวงเข้าปากแล้วร้องไห้ เดินตามไปข้างหลังจนใกล้เขตหมู่บ้าน พระพุทธองค์ทรงบอกพญาช้างให้กลับเพราะต่อไปจะเป็นที่อยู่ของมนุษย์ จะมีอันตรายอยู่รอบข้าง พญาช้างจึงยืนร้องไห้อยู่ ณ ที่นั้น มองดูพระพุทธองค์ จนกระทั่งเสด็จห่างไปลับสุดสายตาแล้วจึงหัวใจวายสิ้นลงทันใด และเนื่องจากช้างปาลิไลยกะมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงได้เกิดในสวรรค์เป็นเทพบุตร ชื่อ ปาลิไลยกะเทพบุตร อยู่วิมานทองสูง 30 โยชน์ในสวรรค์ดาวดึงส์ ในท่ามกลางนางอัปสรนับพัน

Friday, August 12, 2011

Life flow smoothly with the teaching of the Lord Buddha Dhamma

The following Articles have been printed on the Thai newspaper called Daily News every Wednesday. My intention is to talk about the teaching of the Lord Buddha - the way I have absorbed and understand it. After my first article was printed, there was a request coming. A reader wanted to show the article to her foreigner friends to read. She believed that they might be very useful for them to understand "Dhamma" [The teaching of the Lord Buddha] much better.

Therefore, I determined to translate them by myself, though my English is not quite good. It's only understandable. So forgive my weak English.

When talking about Dhamma, most people would shake their head and said “Boring, it is very difficult, it is out of date or It is for those who enjoy studying Bhuddhism, not for us” or “It is for a monk and a Buddhist nun only, not for a layman like us” “We are not the old men who are waiting for passing away, we are still full of ambition and aspiration.” And so on.

But. from the one who has been studied Dhamma for sometimes, studying and practicing Dhamma is not difficult at all.

[Because Dhamma is the fact occurring naturally around us. It is the eternal truth. It is the truth of the nature. … It doesn’t matter how millions life one has been reborn again and again, one couldn’t learn all of those natural things happening in the transmigration. The circle of life will end when one gets bored of rebirthing and try to find the way out, which is going into the state of Nirvana. [Nirvana is the place where there is the extinction of the fires of greed, of hatred, ignorance, all defilements and suffering. It is the Supreme Final Goal of Buddhism.]]

Following the teaching of the Lord Buddha is as simple as eating rice [taking your meal], breathing, going to a toilet and so on. Would you believe that it is easier than trying to survive in these days of living. Moreover, believe it or not, It doesn’t matter what religious you are in, you can be happy by practicing the dhamma.

In the morning, as soon as you open your eyes, just give yourself a little more times. Then, follow your breathing… in and out. Don’t expect anything, don’t try to know anything, don’t have any questions… just see… See how the breathing starts and where it stops. Follow the wind starting from your nose, flowing pass your chest and ending at your stomach. Just look at it calmly. Don’t control your breathing, let it go naturally. After you have done this way correctly for sometimes, your breathing will get slower and calmer. You will feel much relax and peaceful.

Now go on to the next step, think of the Buddha image that you belove most or the holy Buddhist monk whom you respect with your whole heart. [The one who isn’t a Buddhist, feel free to think of your god or your religious founder.] You could think of their figure or their method of reaching their goal. Try to maintain the state of thinking [or anyone who can see the picture insight, try looking at it calmly.] Do it as long as you can. Until you feel delight inside.

Next, think of the most happinest time you have ever had. Think of the freshness time you have ever touch. Think of the most peaceful time you have ever feel. Think of good things happening in your life. Think of good wishes, love, fondness you have ever taken and given.

Thursday, August 4, 2011

Evil in a large sense may be described as the sum of the opposition

Evil, in a broad sense, can be described as the sum of the opposition, which experience shows that in the universe, desires and needs of individuals, from which arises, among human beings at least, the sufferings in which life abounds. So bad, in terms of human well-being is what should not exist. However, there is no service of human life in which his presence is not felt, and the gap between what is and what should be always called for an explanation in the account that humanity has sought to give of himself and his surroundings. To this end, it is necessary (1) to define the precise nature of the principle that gives the character wrong with such a wide variety of circumstances, and (2) ensure, as far as may be possible, at source which it arises.

With regard to the nature of evil, it should be noted that evil is of three kinds - physical, moral and metaphysical. Physical harm includes anything that causes harm to humans, either by injury, countering her natural desires, or preventing the full development of his powers, whether in the order of nature, directly or through the various social conditions in which humanity exists naturally. Physical ailments directly due to the nature of illness, accident or death, poverty, oppression, and some forms of the disease are instances of harm resulting from the imperfect social organization. Mental suffering, such as anxiety, disappointment, and remorse, and the limitation of human intelligence that prevents to reach the full understanding of their environment, congenital forms are difficult to vary each nature and degree in accordance with natural and social conditions.

The moral evil are included diversion of the human will from the requirements of the moral order and the action resulting from the gap. Such action, if it proceeds solely from ignorance, should not be classified as moral evil, which is properly restricted to the movements of the will by the end of which the conscience condemns. The extent of moral evil is not limited to circumstances of life in the natural order, but also includes the sphere of religion, by which the welfare of man is affected in the supernatural order, and the precepts of which, as ultimately dependent on the will of God, are the strictest possible obligation (See NAS). The obligation of moral action in the natural order is also widely believed to rely on the reasons given by religion, and it is at least doubtful that it is possible for a moral obligation to exist at all outside a supernatural sanction.

Metaphysical evil is the limitation by other components of the natural world. Through this mutual limitation of natural objects are mostly prevented from reaching their perfection or ideal, either by the constant pressure of fitness, or by sudden disasters. Thus, animal and plant organisms are variously influenced by climate and other natural causes; predatory animals depend for their existence on the destruction of life, nature is prone to storms and convulsions, and its order depends on a system of perpetual disintegration and renewal because of the interaction of its components. If the suffering of animals is excluded, no pain of any kind is caused by the inevitable limits of nature, and they can be called by analogy evil, and in a sense very different from that in which the term is applied to the human experience. Clarke, also rightly noted (Correspondence with Leibniz, letter ii) that the apparent disorder of nature is really no trouble, because it is part of a specific plan, and specifically addresses the intention of the Creator, he can be counted as a relative rather than perfection of imperfection. It is, in fact, that a transfer to objects of irrational subjective ideals and aspirations of human intelligence, that "evil nature" can be called evil in every sense, but simply an analogy . The nature and degree of pain in the lower animals is very obscure, and in the absence of necessary data, it is difficult to say whether it should be classified correctly, with evil purely formal, owned objects inanimate, or the suffering of human beings. The latter view was generally held in ancient times, and perhaps it refers to the anthropomorphic tendency of primitive minds that appears in the doctrine of metempsychosis. Thus, it has often been assumed that animal suffering, with many imperfections of inanimate nature, was due to the fall of man, with whom the well-being, as the main part of creation, were linked fortunes of the rest (see Theophe. Antioch, Autolyc, II ... see Genesis 3 and 1 Corinthians 9). The opposite view is taken by Thomas (I, Q xcvi, s. 1.2). Descartes assumed that animals were mere machines, without sensation or consciousness, he was closely followed by Cartesian Malebranche, and in general. Leibniz gives a feeling of animals, but considers that the mere perception, unaccompanied by reflection, can cause either pain or pleasure, at least it holds the pain and pleasure of animals to be comparable in intensity to those resulting from the reflex action in humans (see also Maher, Psychology, Supp't. In London, 1903).

It is clear that even while evil is essentially negative and not positive, ie it does not consist in the acquisition of something, but the loss or deprivation of something necessary for perfection. The pain, which is the test or criterion of physical harm, has a positive effect, the very existence as a purely subjective feeling or emotion, but its quality is its evil effect of disturbing the victim. Similarly, the perverse action of the will, on which moral evil depends, is more than a denial of the right action, since it involves the positive element of choice, but the moral wrongfulness of the bad action is not constituted by the element of choice, but by its rejection of this right requires reasons. Thus Origen (. In Joh, II, 7) defines evil as stéresis, Pseudo-Dionysius (De Div Name .. iv) That the non-existent; Maimonides (perplex Dux III, 10.) As a "bonus alicujus privato "Albertus Magnus (adoption phrase of St. Augustine) attributes the difficulty" caused deficiens aliquis "(Summa Theol, I, XI, 4.) Schopenhauer, which held the pain of being positive and normal condition of life (the pleasure of being partial and temporary lack thereof), however it is dependent on the failure of the human desire for fulfillment - "the desire is in itself pain." Thus we see that evil is not a real entity, it is relative. What's the harm in some relationships can be good in others, and there is probably not a form of existence that is only evil in all relationships, so it was thought that evil can not really say that it exists at all, and it's really nothing but a "lesser good." But this opinion seems to leave out of account the reality of human experience. Although the same cause can give a pain, and pleasure to the other pain and pleasure, feelings or ideas, can only be mutually exclusive. No one, however, tried to deny this obvious fact, and the opinion in question may be understood simply as a way paradoxical to assert the relativity of evil.

There is almost a general agreement of authorities as the nature of evil, allowance being made to certain modes of expression according to various correspondents philosophical presuppositions. But the question of the origin of evil, there was, and considerable diversity of opinion. The problem is strictly a metaphysical meaning it can not be solved by a simple experimental analysis of real conditions from which the results of evil. The question, as Schopenhauer called "the punctum pruriens of metaphysics," not so much concerned with the various detailed manifestations of evil in nature, as the hidden cause and underlying, which made these events possible or necessary, and it is clear that once the investigation in a region so obscure to be attended with great difficulty, and that the conclusions are for the most part, be provisional and indicative. No system of philosophy has never managed to escape from the darkness in which the subject is involved, but it is no exaggeration to say that the Christian solution offers, overall, fewer problems, and is closer to completeness than any other. The question can be summarized as follows. Assuming that evil is a certain relationship of man to his environment, or that arises in the relationship of the constituent parts of the whole of existence to each other, how it is that although all are alike the results of a universal cosmic process, this universal body is perpetually at war with itself, contradict and counteract its own efforts in the mutual hostility of his descendants? Moreover, assuming that metaphysical evil in itself may simply be the method of nature, involving nothing more than a permanent redistribution of material elements of the universe, human suffering and wrongdoing and as yet essentially opposed to the general natural development, and are hardly to be reconciled in thought with the whole concept of the unity or harmony in nature. For what is evil in human life, physical and moral, must be given as to its cause? But when the universe is seen as the work of a Creator, all-benevolent and omnipotent, a new item is added to the problem. If God is all-benevolent, why did he cause or permit suffering? If he is omnipotent, it can be in no need to create or allow it, and secondly, if it is under no such necessity, it can not be omnipotent. Again, if God is absolutely good, and powerful, how can he allow the existence of moral evil? We must learn, that is, how evil came to exist, and what is its special relationship with the Creator of the universe.

The solution was attempted by three different methods.

I. It has been argued that existence is fundamentally evil, that evil is the active principle of the universe, and not much more than an illusion, the pursuit of what used to induce the human race to perpetuate its own existence ( pessimistic view). This is the fundamental principle of Buddhism, which sees happiness as inaccessible, and believes that there is no way to escape poverty, but by ceasing to exist other than in an impersonal state of Nirvana. The origin of suffering, as Buddha is "the desire to be." It was also among the Greek philosophers, the opinion of Cyrenaica Hegesias (peisithánatos called, counsel for death), which held the life to be worthless, and pleasure, the only good, to be inaccessible. But the Greek character was naturally not inclined to a pessimistic view of nature and life, and while popular mythology embodied aspects most the existence of dark designs such as those of fate, avenging Furies, and envy (phthonos) gods, Greek thinkers in general felt that the supreme evil is universal, but can be avoided or overcome by the wise and virtuous.

Pessimism as a metaphysical system, is the product of modern times. Its main representatives are Schopenhauer and Hartmann, who both held the real universe to be fundamentally wrong, and that happiness is impossible. The origin of the phenomenal universe is given by Schopenhauer in a transcendent will, he identifies with being pure and Hartmann the unconscious, which includes both the will and idea (Vorstellung) Schopenhauer. According to both Schopenhauer and Hartmann, the suffering has come into existence with self-awareness, from which it is inseparable.

II. The evil was attributed to one of two opposing principles, respectively, which mix the good and evil in the world because. The relationship between the two is represented differently, and varies coordination envisioned by Zoroastrianism to the relative independence of the mere creation will be held by Christian theology. Zoroaster given good and evil, respectively, two antagonistic principles (hrízai or Archaea) called Ormuzd (Ahura Mazda) and Ahriman (Angra Mainyu). Each was independent of the other, but eventually the right was to be victorious with Ormuzd and Ahriman and his followers were expelled evil in the world. This dualism mythological sectk transmitted to the Manichean, whose founder, Manes, added a third principle, but subordinate, from the source of the property (and possibly corresponding to a certain extent, the Mithra of Zoroastrianism ) in the life "spirit", which was formed by the material world existing well mixed and evil. Manes that matter was essentially evil, and therefore could not be in direct contact with God. It was probably derived from the notion of the Gnostic sects, which, if they differ on many points of each other, were generally agreed to follow the advice of Philo, Plotinus and the neo-Platonist of like the evil of matter . They took the world to have been formed by an offshoot, the Demiurge, as a kind of intermediary between God and impure matter. Bardesanes, however, and his followers viewed evil as resulting from the misuse of free desire to create.

The idea that evil is necessarily inherent in matter, regardless of the divine author of good, and in a sense opposite to him, is common to these systems theosophical, the most purely rational conceptions of Greek philosophy, and provided that has been made on this in later times, the idea of ​​a harmony of Pythagoras that the numerical constitutive principle of the world, good is represented by the unit and evil by the multiplicity (Philolaus, Fragm.) Heraclitus resolve the "conflict", which he held to be the essential condition of life, in front of the deity of action. "God is the author of all that is right and good and just, but men are sometimes good and sometimes chose evil" (Fragment 61). Empedocles, again, given the principle of evil hatred (neikos) inherent with its opposite, love (philia), in the universe. Plato held God to be "free from blame" (anaítios) for evil in the world, its cause is partly the necessary imperfection of material and created existence, and partly the work of the human will (Timeaus, xlii;. Cf. Phaedo. lx). With Aristotle, evil is a necessary part of the ongoing evolution of matter, and itself has no real existence (Metaphysics IX, 9). The Stoics conceived evil in a somewhat similar, as by necessity, the divine power immanent aligns the right and wrong in a changing world. Moral evil comes from the madness of men, not God's will, and is rejected by her to a good end. In the hymn of Cleanthes to Zeus (Ston. Ecl., 1, p. 30) may be perceived approach the doctrine of Leibniz, as to the nature of evil and goodness in the world. "Nothing is done without you in the earth or sea or sky, except that men commit evil by their own folly, so that you have installed all good and evil in one, there might be a reasonable diet and eternal of all things. "In the mystical system of Meister Eckhart (d. 1329), evil, sin included has its place in the evolutionary scheme by which all products and returns to God, and contributes to both the moral and the physical, to fulfill the divine plan. monistic or pantheistic Trends Eckhart seems to have obscured for him, many of the difficulties of the subject, as was the case with those by whom the same trends have been made since an extreme conclusion.

Christian philosophy, like Hebrew, consistently awarded moral and physical evil in the action of free will to create. The man brought the disease from which he suffers by transgressing the law of God, obedience to which his happiness depended. The evil is in created things under the aspect of mutability, and possibility of failure, not as existing in itself, and errors of mankind, confusing the real conditions of its own well-being, were the cause of moral evil and physical (pseudo-Dionysius the Areopagite, De Div Name, IV, 31; .. St. Augustine, City of God XII). The harm suffered by the man, however, the condition of the property, for the sake of which it is allowed. Thus, "God judged it better to bring out good from evil than to suffer no evil to exist" (St. Aug., Enchirid., XXVII). Mal contributes to the perfection of the universe, like shadows in the image of perfection, or harmony to the music (City of God 11). Again, the excellent works of God in nature is emphasized by the evidence of divine wisdom, power and goodness, in which no harm can be caused directly. (Greg. Nyssa., De Opif. HOM.) Thus Boethius demand (De Consol. Phil., I, iv) Who can be the author of good, God is the author of evil? As darkness is nothing but the absence of light, and is not produced by the creation, then evil is simply the absence of goodness. (. Saint-August, General de so on) Saint-Basile (Hexaem., Hom ii.) Emphasizes the educational purposes served by evil, and St. Augustine, holding hard to be allowed for the punishment of the wicked and the trial of the good, he shows, in this respect, the nature of good, and pleases God, not because of what it is, but because of where it is to say that the penal consequence of sin and just (City of God XI.12, De Vera relig. XLIV). Lactantius uses similar arguments to counter this dilemma, as to the omnipotence and goodness of God, which he puts into the mouth of Epicurus (De Ira Dei, xiii). St. Anselm (Monologium) connects the evil by the partial manifestation of the property by the creation, its fullness of being God.

The characteristics that emerged in the previous Christian explanation of evil, compared to non-Christian dualistic theories are

the final allocation to the God of all power and absolute goodness, despite his permission to the existence of evil;
the award of a punitive and moral cause of suffering in the sin of mankind, and
the claim without hesitation the charitable purpose of God in the wrong license, complete with the admission that he could, had he chosen, have prevented (City of God, XIV).

How God's permission of evil of which he knew in advance and could have prevented is to reconcile with his goodness, is not fully taken into account, St. Augustine said the issue in terms of strength, but merely by way Response to follow St. Paul in his reference to the divine judgments unsearchableness (Contra Julianum, I, 48).

The same general guidelines have been followed by most modern attempts to explain in terms of theism of the existence of evil. Descartes and Malebranche believed that the world is the best possible for the purpose for which it was created, namely for the manifestation of God's attributes. Had she been less equipped as a whole to achieve this object. The relation of evil to the will of a loving Creator was perfectly handled carefully by Leibniz, in response to Bayle, who had insisted on arguments based on the existence of evil against that of a good and omnipotent God. Leibniz bases his opinion mainly on those of St. Augustine and St. Thomas, and concludes that his theory of optimism. She says the opposite is the best possible, but the metaphysical evil, or perfection, is necessarily involved in the constitution, because it must be finished, and could not have been endowed with the infinite perfection which belongs to God alone. Physical and moral evil is due to the fall of man, but evil is rejected by God for a good cause. In addition, the world with which we know is only a very small factor in the whole of creation, and we can assume that the evil it contains is necessary for the existence of other regions that are unknown to us. Voltaire in "Candide," has begun to cast ridicule the idea of ​​"best of possible worlds," and we must admit that the theory is open to serious objections. On the one hand, it is not compatible with belief in the omnipotence of God, and secondly, it does not account for the authorization (or paternity indirect) of evil by a good God, which Bayle had specifically taken exception. We can not know that this world is the best possible, and if it were, why, because it must include both what is bad, if a God very well have created it? may be required, in addition, there can be no degree goodness over that is not likely to increase all-powerful, without ceasing to below the infinite perfection.

Leibniz was more or less closely followed by many treaties that have been the subject of the Christian point of view. These have mostly said the evidence in the creation of wisdom and goodness of its author, like the Book of Job, and were content to leave uncovered the reason for the creation, by Him, a world in which evil is inevitable. Such was the opinion of the King (Essay on the origin of evil, London, 1732), which placed great emphasis on the doctrine of the best of possible worlds, of Cudworth, which held that evil, but inseparable from the nature of imperfect beings, is largely a matter of fancy and men own opinions, rather than the reality of things, and therefore not be made the ground of charges against the Divine Providence. Derham (physico-theology, London, 1712) has had the opportunity to review the excellence of the establishment to acknowledge an attitude of humility and trust in the creator of "this elegant, well this artificial world, well formed, in which there is everything needed for sustenance, the use and enjoyment of both humans and all creatures here below, and a few whips, few stems, the scourge us for our sins ". Priestly held a doctrine of absolute determinism, and therefore evil attributed solely to the divine will, which, however, justified by the ends right where the damage is done to subserve providentially (doctrine of philosophical necessity, Birmingham, 1782). Clarke, again called attention to evidence of design method, which testify to the benevolence of the Creator in the midst of apparent physical and moral disorder. Rosmini, closely following Malebranche said that the issue the possibility of a better world than it really is meaningless, the whole world created by God to be the best possible according to its special purpose, without which no goodness or badness can be based on it. Mamiani also assumed that evil is inseparable from the finish, but he tended to disappear as the finish approached its final union with the infinite.

III. The third way of understanding the place of evil in the general scheme of the existence of these systems is that of monism, whereby evil is simply seen as a mode in which certain aspects of development moments of nature are apprehended by human consciousness. In this view, there is no principled distinction that evil can be attributed, and its origin is one with that of nature as a whole. These systems reject the idea of ​​special creation, and the idea of ​​God is to be rigorously excluded, or identified by an impersonal principle, immanent in the universe, or as a simple abstraction of the methods of nature, which, if considered in terms of materialism or that of idealism, is the only ultimate reality. The problem of the origin of evil is merged into that of the origin of being. Moral evil, in particular, stems from the error and should be phased out, or at least reduce, through a better understanding of the conditions of human well-being (meliorism). Of this kind, of all the doctrines of the Ionic Hylozoists, whose basic concept was the essential unity of matter and life, and partly, also, that Eleatics, who founded the origin of all things in the abstract being. The atomic Leucippus and Democritus, held what might be called a doctrine of materialist monism. This doctrine, however, found its first full expression of the philosophy of Epicurus, which explicitly rejected the idea of ​​any external influence on the nature, whether it's "destiny", or divine power. According to the Epicurean Lucretius (De Rerum Natura, II, line 180) the existence of evil was fatal to the supposition of the world was created by God:

Nequaquam nobis esse divinitus creatum
Naturam mundi, Quae tanta culpa prædita EST.

Giordano Bruno was God the immanent cause of all things, acting through an inner necessity, and produce the relations considered evil by humanity. Hobbes regarded God as merely a physical cause first, and the application of his theory of civil government in the world, defended the existence of evil by the mere assertion of absolute power with which it is due - a theory which is almost anything but a statement of materialist determinism in terms of social relations. United Spinoza spirit and matter in the notion of a single substance, which he attributes to both thought and extension; error and perfection are the necessary consequence of the order of the universe. Hegelian monism, which reproduces many of the ideas of Eckhart, and is broadly adopted by many different systems of recent origin, gives the wrong place in the unfolding of the Idea, in which both the origin and the inner reality of the universe are to be found. The evil is discord between what is temporary and what needs to be. Huxley was content to believe the ultimate causes of things are currently unknown and perhaps unknowable. Evil is to be known and fought in the concrete and detailed, but professed agnosticism, and named by Huxley refuses to entertain any question on the causes transcendent, and merely experimental facts. Haeckel advance a dogmatic materialism, in which the substance (ie material and strength) appears as the eternal and infinite base of all things. Professor Metchnikoff, on similar principles, places the cause of evil in "disharmony" that exist in nature, and which he thinks may have finally removed, the human race at least, in collaboration with anger that pessimistic arise, for the progress of science. Bourdeau said in express terms the futility of seeking a transcendent or supernatural origin for evil and the need to confine the access to natural causes, and determinable (Revue Philosophique, I, 1900).

The system recently built, or a method, called pragmatism, has this in common with the pessimism, which he considers evil as an inevitable part of reality that human experience which is actually identical to the truth and reality. The world is what we make, the damage tends to decrease with the growth of experience, and may finally disappear if on the other hand, it can always be the irreducible minimum of evil. The origin of evil is, as the origin of all things, inexplicable, it can not be installed in any design theory of the universe, simply because no theory is possible. "We can by no possibility understand the nature of the cosmic mind whose purpose is fully revealed by the strange mixture of good and evil found in the peculiarities of the real worlds - the design simple word, by itself has no consequences and explains nothing. "(James, Pragmatism, London, 1907. Cf. Schiller, Humanism, London 1907.) Nietzsche is wrong with being purely relative, and moral aspects at least, a transient and non-fundamental concept. With him, the humanity in its present form, is "the animal is not well adapted to its environment."

Tuesday, August 2, 2011

Gastroesophageal Reflux Disease(GERD)

GERD or gastroesophageal reflux disease occurs when stomach acid from the stomach back into the esophagus, often causes inflammation of the esophagus - esophagitis. Reflux refers to the movement upward or reverse upward from the stomach to the esophagus.

If untreated gastroesophageal reflux disease the patient may experience great discomfort and inflammation of the esophagus. This is sometimes linked to serious complications such as narrowing (criticism) of the esophagus, Barrett's esophagus (severe damage to the esophagus, which is linked to the development of cancer), ulceration, and bleeding.

Complications are more likely to occur as a result of reflux at night, days of reflux. However, reflux of day can also lead to complications.

What is erosive esophagitis?

This is when the lining of the esophagus has been damaged or eroded by long-term exposure to stomach acid - a common problem with acid reflux is not treated.
How common are GERD and erosive esophagitis?
In industrialized countries, between 20% and 40% of adults experience heartburn regularly. Heartburn is the main symptom of gastroesophageal reflux disease.

hospitalized patients commonly have concurrent conditions such as GERD. A contemporary condition is one that accompanies another.

It is estimated that more than half of those suffering from GERD may have erosive esophagitis.

What are the symptoms of GERD?

Heartburn is usually the main symptom, a burning sensation that rises from the stomach or lower chest towards the neck and throat.

A bitter or acid in the bottom of the gorge is sometimes experienced.

Most of us experience occasional heartburn. When this happens two or more times a week, and 'therefore more likely to be a symptom of GERD.

The correlation between the severity of symptoms and the presence / degree of esophagitis is poor, and can not be used as diagnostic guidelines.

What causes GERD?

GERD occurs when the anti-reflux mechanism at the junction between the esophagus and stomach do not work properly. This may be due to a weak lower esophageal sphincter should close the esophagus from the stomach and stop acid reflux from happening.
How is GERD diagnosed?

If a patient experiences heartburn at least twice a week, GERD is usually suspect.

The doctor will do a careful review of symptoms.

History Endoscopy can be used to confirm the diagnosis is suspected. However, less than 50% of patients with GERD have diagnostic endoscopic abnormalities.

GERD and erosive esophagitis as they are treated?

For management to be effective GERD gastric acidity of the patient should be reduced, while its intragastric pH should be above 4 - keeping it above 4 reduces damage to the esophagus of refluxed gastric contents.

PPI (proton pump inhibitor) therapy is very effective in maintaining intragastric pH above 4, as it suppresses the secretion of stomach acid, and is the recommended first-line treatment for all patients with GERD (Guidelines Geneva). Proton pump inhibitors inhibit the proton (acid) pumps the cells lining the stomach wall - preventing the secretion of gastric acid.

Since starting treatment with the most successful therapy, the greater initial cost of the drug will likely be offset by a rapid control of symptoms for the patient and the reduced need for repeated consultations.